วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำให้คนอื่นเจ็บ มันง่าย แต่ทำให้คนอื่นไม่เจ็บ มันยาก...

สวัสดีจ้ะลูก

วันนี้พ่อเดินกลับบ้าน เจอเด็กผู้ชายอ้วนๆ อายุสักชั้นประถมคนหนึ่ง กำลังอาละวาดใช้กำลังกับญาติๆ เขาอยู่ เด็กก็ใช้แต่อารมณ์กับกำลัง ผู้ใหญ่ก็ได้แต่ทำให้มันขำขันตลกให้อภัยกันไป

พ่อเห็นแล้วมันไม่สนุกเลยลูก
วัยเด็กเป็นวัยแห่งการใช้กำลังนะลูก เป็นช่วงชีวิตที่ลูกจะตัดสินปัญหาต่างๆ รอบตัวด้วยการใช้กำลัง และอารมณ์ ก่อนจะใช้เหตุผล และการเจรจา

พ่อก็เคยผ่านวัยแบบนั้นมาเหมือนกัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งคิดได้ว่า ไม่ควรเลย เพราะการใช้กำลังตัดสินปัญหาอะไร มีแต่จะทำให้คนอื่นเจ็บ และสุดท้าย เมื่อเราหวนย้อนคิดไปถึงมัน ตัวเราเองก็เจ็บในหัวใจทุกครั้ง เหมือนแผลเป็นที่ไม่มีวันหายนะลูก โดยเฉพาะธรรมชาติของคนเรา มักจะเลือกจำแต่สิ่งที่ไม่ค่อยดี ได้มากกว่าสิ่งที่ดี ยิ่งลูกทำอะไรไม่ดีมากเท่าไหร่ ลูกก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีแต่ความรู้สึกผิดต่อตัวเองและผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้นนะลูก

ดังนั้น ถ้าลูกได้มาอ่านข้อความนี้ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ก็นับเป็นเรื่องที่ดี

พ่ออยากจะบอกลูกว่า "ทำให้คนอื่นเจ็บ มันง่าย แต่ทำให้คนอื่นไม่เจ็บ มันยาก"

ถ้าทำได้ ให้ลูกเติบโตเป็นคนที่ทำให้คนอื่นไม่ต้องเจ็บ
คือลูกสามารถปกป้องคุ้มครองตัวเอง และผู้อื่นได้นั่นเองลูก

และถ้าเราสามารถทำให้คนอื่นไม่เจ็บได้ ลูกจะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับตัวเอง และมีความสุขในจิตใจได้มากขึ้นจ้ะลูก

รัก
พ่อ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความกตัญญู...

สวัสดีจ้ะ ลูกของพ่อ

พ่อคิดๆ ดูแล้ว พ่อคงไม่ใส่เลขลำดับในจดหมายของพ่อแล้วล่ะ เพราะพ่อคิดว่าต่อไป ลำดับก็คงไม่มีความหมาย เพราะพ่อคงอยากให้ลูกกลับมาอ่านแบบไม่เรียงลำดับ เพราะพ่อเองก็เขียนแบบไม่มีลำดับเหมือนกัน และพ่อเชื่อว่า การอ่านแบบสุ่ม บางครั้งก็นำพาให้เราไปได้อ่านอะไรที่เหมาะเจาะลงตัวกับจังหวะชีวิตเราในตอนนั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน เหมือนการเปิดหนังสือดีๆ ขึ้นมาสักหน้าโดยไม่เลือกว่าจะอ่านอะไร หลายครั้ง พ่อก็ได้อ่านอะไรดีๆ ที่เหมาะกับจังหวะเวลานั้นๆ ได้บ่อยๆ เหมือนกัน

มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า พอดีตอนนี้พ่อนึกถึงคำว่า "กตัญญู" อยู่ลูก

คิดว่าลูกคงเข้าใจความหมายของคำคำนี้แล้ว กตัญญู คือการรู้และสำนึกในสิ่งที่ผู้อื่นเคยทำไว้ให้กับตัวเอง และคนไทยมักต่อท้ายยาวๆว่า กตัญญู กตเวทิตา ซึ่งพ่อก็ไม่แน่ใจหรอกลูกว่ามันหมายความว่าอะไรแน่ แต่คงจะหมายถึงนอกจากรู้คุณเขาแล้ว ก็ต้องคิดตอบแทน หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างดีให้สมกับความดีที่เขาเคยทำให้เราน่ะลูก

ความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญนะลูก โดยเฉพาะกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เพราะถือว่าตัวเรานั้นมีชีวิต มีเลือดเนื้อขึ้นมาได้ เติบโตอย่างปลอดภัย และได้รับสิ่งต่างๆ ในช่วงต้นของชีวิตก็จากพ่อและแม่ ดังนั้นถ้าวันหนึ่งลูกมีกำลังที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้เอง ก็อย่าลืม กตัญญูต่อพ่อและแม่ให้มากๆ นะลูก โดยเฉพาะแม่ เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตลูกก็ว่าได้ ที่ไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามทำร้ายร่างกายและจิตใจของแม่เป็นอันขาด ช่วยเหลือเจือจานเท่าที่ทำได้จนสุดกำลัง แต่ต้องอยู่ในกรอบเหตุผลและศีลธรรมอันดี

ที่พ่อพูดถึงเรื่องนี้ เพราะพ่อสังเกตเห็นว่าจิตใจของผู้คนในตอนนี้ ต่างจากสมัยพ่อยังเด็กๆ อยู่มากๆ เลยลูก.. คนสมัยนี้เรียนมาก ความรู้มาก แต่กลับห่างไกลจากการยกระดับจิตใจตัวเอง พากันใช้ความรู้ที่มีมาเอาเปรียบกัน จนแม้แต่คนที่เคยมีบุญคุณ ก็ยังเอามาวัดน้ำหนักบุญคุณเอาตามใจว่า เท่านี้ถือว่าชดใช้กันพอแล้ว ต่อไปจะเนรคณ หรืออกตัญญูยังไงก็ได้ ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดบาป หรือไม่ดีแต่ประการใด

ในมุมมองของพ่อ บางเรื่องบางคน ก็อาจคิดแบบนั้นได้ แต่กับบางเรื่องบางคน ก็คิดแบบนั้นไม่ได้ ซึ่งพ่อขอเน้นให้ลูกอย่าลืมบุญคุณของ 1.คนที่ให้ชีวิต 2.คนที่ให้โอกาส สองอย่างนี้สำคัญมากนะลูก คนเราถ้าไม่มีชีวิต ก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรได้อีก หรือต่อให้มีชีวิต แต่ไม่มีโอกาส ต่อให้ลูกเก่งแค่ไหน มีความพร้อมแค่ไหน อยากทำแค่ไหน ลูกก็อาจจะไม่ได้ทำก็ได้

อย่าเติบโตเป็นคนที่ขึ้นสู่ที่สูงโดยเหยียบย่ำคนที่เคยช่วยเหลือลูกขึ้นไปเป็นอันขาดนะลูก แต่ต้องสำนึกไว้ว่า เราสูงแล้วเรามีโอกาสแล้ว ก็ต้องช่วยเหลือคนที่เคยช่วยเหลือเราให้เขาได้รับโอกาสขึ้นมาเท่ากับเรา หรือเหนือกว่าเราได้บ้าง เพราะสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือความสุขใจจ้ะลูก

ถ้าเราเป็นผู้ให้ สักวันเราจะได้รับนะลูก... อย่าร้องขออะไร ถ้าเราไม่เคยให้อะไร
และความกตัญญูนี่แหละ เป็นเครื่องหมายของคนดี ที่จะทำให้ลูกได้เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้อย่างไม่ขาดแคลนไปตลอด

รัก
พ่อ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

3.เข้าใจอัตตา...

สวัสดีจ้ะลูก

พ่อคิดว่าคงจะเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะพูดถึงเรื่อง อัตตา ตั้งแต่เรื่องแรกๆ แบบนี้ แต่พ่อก็ไม่อาจจะข้ามมันไปได้ เพราะถือเป็นแก่นสารสาระอันเป็นสิ่งสรุปถึงเนื้อหาทั้งหมดที่เราอาจจะได้พูดคุยกันต่อไปจากนี้เลยล่ะจ้ะ พ่อจึงต้องขอยกเอามาไว้แต่แรกๆ ซึ่งถ้าลูกยังไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ไว้วันหนึ่งที่ลูกผ่านอะไรในชีวิตมาพอสมควร แล้วค่อยย้อนมาอ่าน พ่อคิดว่าลูกจะต้องเข้าใจมันได้แบบที่พ่อเข้าใจอย่างแน่นอนจ้ะ

อัตตา คืออะไร?

ในแนวคิดเชิงพุทธศาสนา อัตตา คือ self หรือตัวตน นั่นเองจ้ะ และหมายความโดยตรงถึงตัวตนของผู้พูด หรือสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือพูดง่ายๆ ก็คือหมายถึงตัวเองนั่นแหละ แต่เป็นความหมายเชิงนามธรรมนะ ไม่ได้หมายถึงทางรูปธรรมหรือกายภาพเพียงอย่างเดียว

อัตตาสำคัญตรงไหน?

อัตตา เป็นสิ่งสำคัญ และต้องทำความเข้าใจมากจ้ะ เพราะสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลก ทำทุกๆ อย่างเพื่อสนองอัตตา เพราะกลัวว่าตัวตนของตัวเองจะไม่มีอยู่ กลัวว่ามันจะหายไป กลัวคนอื่นไม่เห็นตัวตนของตัวเอง จึงต้องพยายามป้อนหรือเลี้ยงให้อัตตาคงอยู่ตลอดเวลา

อย่างเช่น เวลาลูกทำอะไรดีๆให้คนอื่น แต่เขาไม่เห็น ลูกจะรู้สึกน้อยใจเสียใจใช่ไหมลูก นั่นแหละลูก นั่นเพราะลูกทำไปเพื่อหวังว่าเขาจะเห็น และพอเขาไม่เห็น อัตตาของลูกก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ลูกก็จะรู้สึกเสียใจ

หรือเวลาลูกเดินไป เห็นเพื่อนนั่งคุยกันสองสามคน แต่พวกเขาไม่ทักทายเรียกลูกไปคุยด้วย ลูกก็น้อยใจเสียใจใช่ไหม นี่ก็เป็นเพราะอัตตาของลูกไม่ได้รับการตอบสนองเช่นกัน

เวลาอัตตาไม่ได้รับการตอบสนอง เราจะรู้สึกตัวเล็กลงและไม่มีค่าจ้ะ ตรงกันข้ามถ้ามีคนตอบสนองมัน เราก็จะรู้สึกว่าเรายิ่งใหญ่ มีพลัง และกล้าที่จะทำอะไรมากขึ้น นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของอัตตาจ้ะ

สรุปง่ายๆ ว่า ทุกการกระทำ ถ้ามีคำว่า ฉัน อยู่ในประโยคนั้นได้ แสดงว่าการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อสนองอัตตาของตัวเองจ้ะ ไม่ว่าจะฉันกินข้าว ฉันเลี้ยงหมา ฉันเรียนหนังสือ ฉันทำดี ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงอัตตาให้คงอยู่นั่นเองจ้ะ

งงเนอะ พ่อก็งงจ้ะ

เอาเป็นว่า ต่อๆ ไป เราจะค่อยๆ คุยเรื่องนี้กันไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน และจะยกตัวอย่างไปเรื่อยๆ พ่อคิดว่าวันหนึ่ง ลูกของพ่อจะต้องเข้าใจมันได้แน่นอนจ้ะ

ไว้มีเวลาแล้วพ่อจะมาเขียนต่อนะ

รัก
พ่อ

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

2.ทำความเข้าใจภาพรวมกันก่อน...

สวัสดีจ้ะ ลูกของพ่อ...

พ่อต้องใช้เวลาเกือบ 10 วันทีเดียว กว่าจะเรียบเรียงและจัดระบบในหัวพ่อให้ได้ก่อนว่า พ่อควรจะเขียนอะไรต่อจากจดหมายทักทายอันแรก เพราะพ่อเองก็ไม่รู้ว่าลูกจะได้มาอ่านตอนอายุเท่าไหร่ อุปนิสัยใจคอลูกนั้นจะเป็นอย่างไร ลูกจะเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง ก็เป็นเรื่องอันสุดจะคาดเดาได้

ดังนั้น พ่อจะเขียนเหมือนกระบวนการที่พ่อใช้คิดและแก้ปัญหาทั้งหมดในชีวิตของพ่อเลยคือ
  1. ตั้งโจทย์ให้ชัดเจน ว่าต้องการอะไร
  2. กำหนดกรอบ ว่าจะไปถึงจุดมุ่งหมายนั้นได้โดยมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
  3. ลองพิจารณาหนทางที่จะทำนั้นสักสองทางเป็นอย่างน้อย
  4. นำแต่ละทางมาชั่งน้ำหนักดูข้อได้ข้อเสีย และผลกระทบต่อปัจจัยภายนอก
  5. ทำตามแผน และคอยปรับแผนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสำเร็จ
ด้วยกระบวนการที่พ่อพูดไปแล้วนั้น ทำให้พ่อคิดว่า ฉบับนี้ควรจะเขียนให้ลูกเข้าใจกรอบแนวคิด ที่พ่อจะใช้ในการคุยกับลูกทั้งหมดนับจากวันนี้ไป เพื่อเราจะได้เข้าใจกันได้ง่าย และตรงกันอย่างไม่คลาดเคลื่อน

เริ่มกันเลยนะลูก...

ถ้าจะให้พูดว่ากรอบของพ่อคืออะไร กรอบความคิดของพ่ออยู่ในแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์+พุทธศาสนา+จิตวิทยา จ้ะลูก เพราะพ่อรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กว่าพ่อใช้ชีวิตตามเหตุผล ไม่ใช่เด็กช่างเพ้อฝันสักเท่าไหร่นัก และจนโตขึ้น พ่อก็เลือกจะใช้ชีวิตตามหลักศาสนาพุทธแบบเถรวาท ซึ่งพ่อก็ได้ศึกษาและทำความเข้าใจมันอย่างดีแล้วเช่นกันแล้วจึงเชื่อ ซึ่งเรื่องพวกนี้ คงจะได้คุยกันในฉบับถัดๆไปนะลูก พูดตอนนี้คงจะยังไม่เหมาะนัก และจิตวิทยาคือศาสตร์ที่พ่อศึกษาเพื่ออธิบายพฤติกรรมของคนที่เราได้พบในชีวิต ซึ่งมันจะลงตัวเหมาะเจาะกับแนวคิดทางพุทธมากๆ เลยลูก

ตอนนี้ลูกแค่เข้าใจภาพรวมว่า สิ่งที่พ่อจะบอกต่อๆไป จะประกอบด้วยเหตุผล และวิเคราะห์ไปถึงสาเหตุของพฤติกรรมต่างๆ ทั้งของตัวเองและผู้คนรอบข้างด้วยจ้ะ แล้วลูกจะพบว่ามันสนุกมากๆ ที่ได้รู้ถึงที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆในชีวิตลูก

และพ่อก็หวังว่าลูกคงจะสนุกเช่นกัน

รัก
พ่อ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

1.สวัสดี ลูกของพ่อ...

สวัสดีจ้ะ ลูกของพ่อ...

พ่อตั้งใจจะเขียน blog นี้มานานหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ทำสักที ซึ่งบางครั้งพ่อก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าพ่อจะรอทำไม

พ่ออยากจะเขียนจดหมายเหล่านี้ถึงลูกๆ ในอนาคตของพ่อ ทั้งๆที่ในวันนี้ (19/11/2554) พ่อเองก็ยังไม่ได้แม้แต่จะแต่งงาน หรือมีลูก เพราะเล็งเห็นไว้ว่า มีหลายอย่างหลายเรื่องเหลือเกินที่พ่ออยากจะสอน อยากจะพูดคุยกับลูก และถ้าไม่เริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ วันที่พ่อยังมีเวลา และสติปัญญาอันพร้อม พ่อกลัวว่าถึงวันนั้น วันที่ลูกเติบโตขึ้น พ่ออาจจะลืมเลือน หรืออาจจะไม่มีเวลาจะพูดคุยเรื่องต่างๆ ได้มากมายอย่างที่ใจพ่อคิด

พ่ออยากจะเขียนให้ลูกอ่านง่ายๆ เหมือนกำลังอ่านนิทาน หรือแบบที่เราคุยกันเล่นๆ เพราะพ่อไม่อยากจะเอาความเป็นพ่อทั้งหมด ยัดลงไปในตัวลูก ไม่อยากกำหนดว่า ลูกต้องอ่านหนังสือเล่มนั้น หรือเชื่ออย่างนี้ แต่สิ่งที่พ่อจะบอกต่อจากนี้ เป็นสิ่งที่พ่อผ่านมาแล้วทั้งสิ้น พ่อใช้ชีวิตของพ่อ ประสบการณ์ของพ่อ เรียบเรียงมาเป็นหัวข้อ เพื่อส่งต่อสิ่งที่ทั้งถูกและผิด เพื่อให้ลูกจะไม่ต้องลองผิดลองถูกเองมากจนเกินไปนัก

พ่อไม่รู้ว่าจนถึงวันที่ลูกได้มาอ่าน ลูกจะเติบโตไปสักแค่ไหน มีความคิดความอ่านเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย พ่อก็หวังว่าสิ่งที่พ่อจะคุยกับลูกต่อๆไป จะมีประโยชน์กับตัวลูกเองในสักวัน

วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน เอาไว้พ่อจะค่อยๆเขียนไปทีละเรื่องนะ

รัก
พ่อ

จองชื่อไว้ก่อน...

เป็น blog ที่อยากเขียนตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนเรื่อยมา

พอจะเปิดจริงๆ ดันเจอใครไม่รู้ใช้ชื่อ tomyfuturekids ไปแล้วเสียอีก
แถมเขียนได้เดือนเดียวแล้วเงียบหาย เสียดายชื่อเอามากๆ

ไว้มีเวลา จะเริ่มเขียน
คิดและหวังว่า มันจะเป็น blog ที่เขียนได้ยาวพอสมควร
แต่คงไม่ยาวนานหลายปีนัก...

สวัสดี
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...